วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปลูกไผ่หวานสร้างรายได้


ไผ่ เป็นไม้พุ่มหลายชนิดและหลายสกุลใน วงศ์หญ้า Poaceae (เดิมคือ Gramineae) วงศ์ย่อย Bambusoideae เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้องๆ เช่น ไผ่จีน (Arundinaria suberecta Munro) ไผ่ป่า (Bambusa arundinacea Willd.) ไผ่สีสุก (B. flexuosa Munro และ B. blumeanaSchult.) ไผ่ไร่ (Gigantochloa albociliata Munro) ไผ่ดำ (Phyllostachys nigra Munro).

ผลผลิตจากไผ่ที่สำคัญคือ หน่อไม้ ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนไทย นิยมทานกันมากในเกือบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน นอกจากนี้ไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติพิเศษทั้งด้านความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด ดังนั้นจึงยังได้รับความนิยมในการทำเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภท ใช้ชะลอน้ำที่เข้าป่าชายเลน นั่งร้านก่อสร้างและบันได เป็นต้น

อ้างอิง ศูนย์ปฏิบัติการพืชเศรษฐกิจ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช



1. ไผ่หวานไต้หวัน ( ไผ่หมาจู๋ )
ไผ่ไต้หวัน เป็นไผ่จากประเทศไต้หวัน นำเข้ามาปลูกครั้งแรกที่ดอยอ่างขาง ในโครงการหลวง จ.เชียงใหม่ เป็นไผ่ที่มี่มีลำต้นใหญ่ ใบใหญ่ ไม่มีขน หน่ออวบ รสชาติหวาน อร่อย หน่อหนักถึง 2 - 5 กิโลกรัม จึงเป็นไผ่ที่มีราคาแพงถึง กิโลกรัมละ 40-50 บาท


ป่าไผ่หม่าจู๋



2. ไผ่อินโดจีน (ไผ่ตงลืมแล้ง)
ไผ่ตงลืมแล้ง เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมรับประทานมาแต่โบราณ โดยใช้หน่ออ่อน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หน่อไม้ไผ่ตง ซึ่งมีรสหวาน นำไปแกงกับเนื้อไก่ ปลา หรือเนื้อวัว นำไปต้มจืดกระดูกหมู (เมนูนี้นิยมกันมาก) แกงเปรอะ ต้มเป็นผักเคียงใช้จิ้มกับน้ำพริกกะปิ น้ำพริกน้ำปู๋ น้ำพริกแก๋ หรือปรุงอย่างอื่นอีกมากมาย รับประทานอร่อยมาก แต่ไผ่ตงที่พบเห็นและนิยมรับประทานกันเป็นประจำนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เปลือกหุ้มหน่ออ่อน หรือ หุ้มหน่อไม้ไผ่ตง จะมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมทั่วทั้งเปลือก ทำให้เวลาจะแกะเปลือกเพื่อเอาเนื้อในไปใช้ ประโยชน์เกิดอาการรำคาญ ผู้ซื้อรับประทานจึงต้องให้ผู้ขายแกะเปลือกให้ แต่ สำหรับ “ไผ่ตงลืมแล้ง” มีลักษณะพิเศษคือ เปลือกหุ้มหน่ออ่อน จะเกลี้ยงไม่มีขนปกคลุมเลย เวลาแกะเอาเนื้อในจึงสะดวกสบายมาก

เป็นไผ่ตงที่มีหน่อตลอดปี น้ำท่วมต้นก็ไม่ตายทนแล้งอีกต่างหาก จะแล้งขนาดไหนยังแทงหน่ออ่อนให้เก็บรับประทาน หรือเก็บขายได้ ตลอดปี จึงถูกตั้งชื่อว่า “ไผ่ตงลืมแล้ง” (ปกติฤดูแล้งไผ่ตงจะไม่มีหน่อ) นอก จากนั้น “ไผ่ตงลืมแล้ง” ยังเป็นหน่อไม้ที่มี กรดยูริก ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเกาต์น้อยมาก จึงสามารถรับประทานได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญเนื้อไม้ หรือลำไผ่ของ “ไผ่ตงลืมแล้ง” ยังเป็นไผ่ที่มอดไม่กินอีกด้วย เวลานำไปสร้างบ้านไม้ไผ่ หรือทำเฟอร์นิเจอร์ จึงมีความทนทานได้นานกว่าไม้ไผ่ชนิดใดๆ ไผ่ตงลืมแล้ง เป็นพันธุ์นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียนานกว่า 5 ปีแล้ว อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE เป็นไม้ยืนต้นตระกูลหญ้า ต้นสูงได้กว่า 20 เมตร ลำต้นตรง เป็นข้อหรือปล้อง ขนาดของลำต้นใหญ่ เนื้อไม้หนา ยอดอ่อน หรือ หน่ออ่อนมีเปลือกหุ้มสีเขียว ไม่มีขนตามที่กล่าวข้างต้น โผล่เหนือดินเรียกว่า หน่อไม้ ไผ่ตง เนื้อในรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ขนาดของหน่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5-7 กิโลกรัมต่อหัว มีหน่อตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ การปลูก “ไผ่ตงลืมแล้ง” มีลักษณะทนต่อทุกสภาพอากาศ ทนแล้งได้ดี น้ำท่วมไม่ตาย ปลูกได้ในดินทั่วไป และมีหน่อให้เก็บรับประทาน หรือเก็บขายตลอดปี จึงเหมาะที่จะปลูกเป็นพืชครัวและพืชเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง สรรพคุณ ทางสมุนไพรของไผ่ตงทุกชนิดคือ ใบแห้ง ต้มน้ำดื่มขณะอุ่นเป็นยาขับปัสสาวะ ขับและฟอกโลหิตระดูเสียในสตรี แก้มดลูกอักเสบ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ราก ขับปัสสาวะ และ แก้ไตพิการ

ฤดูปลูก
ฤดูที่เหมาะสม ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน หรือราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม
เตรียมพื้นที
พื้นที่จะปลูกควรตัดโค่นไม้ใหญ่ออก เพราะจะไปแย่งอาหารจากไผ่ ถ้าได้พื้นที่ใกล้แหล่งน้ำจะดีมาก เพราะไผ่เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่ไม่ชอบน้ำขัง เริ่มโดยการไถดะ ไถพรวน ตากดินไว้สัก 7- 10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อ แล้วขุดหลุมขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมขึ้นอยู่กับเกษตรกรต้องการดังนี้ :-
3. ไผ่จีน (ไผ่ปักกิ่ง)
ไผ่ปักกิ่ง ประวัติความเป็นมา เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน รายละเอียดเชิงวิชาการ ไม่ชัดเจนเพียงศึกษาจากการสังเกตุ การเจริญเติบโต ไผ่จีน ไผ่ปักกิ่ง เรียกชื่อตาม คำบอกเล่าของคนจีนที่นำต้นไผ่เข้าแล้วนำถวายวัดในเขตอำเภอสามชุก จ.สุพรรณบุรี ลักษณะลำต้น ลำต้นสีเหลืองอมเขียว กาบหุ้มลำต้นถี่และหลุดง่าย ส่วนโคนจะมีรากเล็กๆออกมาเป็นระเบียบสวยงาม ไม่ค่อยแตกกิ่ง จะไม่มีหนาม ลำตรงสวยงาม ลำสูงประมาณ 6-10 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว ปล้องห่างประมาณ 8-12 นิ้ว ภายในมีรูเล็กประมาณ เส้นผ่า ศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว กลวงตลอดทั้งหน่อ ลักษณะใบ ใบจะใหญ่มากแต่สั้นไม่ยาว โคนใบจะกว้างประมาณ 1.5-2 นิ้ว ไม่แข็งเหมาะสำหรับใช้ในการห่อขนมได้ การปลูก เนื่องจากไผ่ปักกิ่งเป็นไผ่ขนาดใหญ่ ระยะปลูกควรเป็น 5 คูณ 5 เมตร ขุดหลุมให้ได้ขนาด 50 คูณ 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร ไผ่เจริญเติบโตดีมาก โตเร็ว โดยเฉพาะในเมืองไทย อากาศไม่หนาวจัดและให้หน่อดกมากในแต่ละกอรอบก่อไผ่จะให้หน่อประมาณ 8-10 หน่อ ลำไผ่ขึ้นตรงไม่มีหนาม การเกิดหน่อกระจายรอบ ๆ ต้น ห่างประมาณ 4-5 นิ้ว ชอบปุ๋ยคอก การให้น้ำประมาณ 1-2 ปิ๊บ/วัน การตัดหน่อ จะทำการตัดหน่อบริโภค ซึ่งขณะนี้มีจำหน่ายไม่มากนัก ทำการแปรรูป จะนำไปสู่การ ทำหน่อไม้แห้งที่ไม่แข็ง ไม่เหนียว เมื่อจะบริโภคประกอบอาหารก็อ่อนนุ่ม หน่อจะกลวง แต่ความอร่อย ของเนื้อหน่อไม้จะอร่อยกว่า ชิมสด ๆ จะมีขื่นนิดหน่อยเท่านั้น ถ้านำไปต้มหมู แกง หรือหั่นตามยาว ผัดจะอร่อยมาก เนื้อของหน่อจะเป็นเส้นหยาบนิดหน่อย ทำให้เวลาต้มหรือแกงจะดูดซับเข้าเนื้อดี จึงบริโภคอร่อยมาก การใช้ประโยชน์ 1. ลำไผ่จะใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ ได้สวยงามมากเพราะลำไผ่ตรงสีสวย และใช้กับ การก่อสร้าง เช่น โรงเรือนไม้ไผ่ บ้านไม้ไผ่ รั้วไม้ไผ่ และเก้าอี้ไม้ไผ่ 2. ใบมีขนและใหญ่ ไม่เหมาะเป็นอาหารสัตว์ ริมใบจะคม นำมาทำความสะอาดแล้วใช้ห่อขนม เช่น บ๊ะจ่าง ขนมตาล เป็นต้น 3. ซอ หรือโคนไผ่ นำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์สวย โคนไผ่จะให้รูปร่างที่แปลก สวยงาม 4. หน่อไม้ นอกจากบริโภคปกติ แล้วเมื่อมีมากจะทำหน่อไม้แห้งเพราะมีคุณสมบัติ อ่อนนิ่ม สมอย่างยิ่ง ราคาหน่อไม้สดกิโลกรัมละ 50-60 บาท 1 หน่อน้ำหนักประมาณหน่อใหญ่ หนักถึง 5- 7 ก.ก. หน่อเล็กประมาณ 3-4 ก.ก.

4. ไผ่บงหวาน

ไผ่บงหวาน มีชื่อพื้นเมืองว่า ไผ่หวาน หรือ ไผ่บงหวาน ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Bambusa Sp. ชื่อวงศ์ Gramineaeพบมากในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย จะพบไผ่หวานที่จัดว่ามีคุณภาพดีที่สุด เป็นไผ่ขนาดเล็กถึงขนาดกลางลักษณะกอหุ้มแน่น ลำต้นมักคดงอ เนื้อในตันไม่กลวงแตกกิ่งประมาณ 2-5 กิ่งตลอดลำ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-5ซม. สูงประมาณ 5-7 เมตรหน่อของไผ่หวานมีลักษณะเล็ก หน่อมีสีเขียวหนัก



การขยายพันธุ์ไผ่ตง



  • ไผ่ตงสามารถขยายพันธุ์ได้ 5 วิธี คือ การขยายพันธุ์ด้วยการเพราะเมล็ด การเพราะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การแยกกอหรือเง้า การชำปล้อง และการปักชำแขนง


    การขยายพันธุ์ไผ่

    การขยายพันธุ์ไผ่





  • 1. การเพาะเมล็ด



  • ไผ่ตงเมื่อแก่แล้วจะออกดอกและตาย ซึ่งปกติไผ่ตงจะเริ่มออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิการยน – มกราคม โดยเมล็ดไผ่ตงจะเริ่มแก่และหล่นประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน เกษตรกรสามารถนำเมล็ดไผ่ตงไปเพาะต่อโดยวิธีต่อไปนี้


  • 1.1 การเก็บเมล็ดพันธุ์



  • เมล็ดไผ่ตงเมื่อแก่จัดจะล่วงลงพื้น เกษตรกรควรถางและกวาดโคนต้น เพื่อสะดวกในการเก็บเมล็ดไผ่ตง


  • คัดเมล็ดที่เสียออกเก็บไว้แต่เมล็ดที่สมบูรณ์


  • นำเมล็ดไผ่ตงมานวดและฝัดเอาเปลือกออก แล้วนำไปตากแดดประมาณ 1 วัน จึงนำไปเพาะได้ (ถ้าต้องการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพราะควรคลุกด้วยสารเคมีเซฟวิน เอส-85 เพื่อป้องกันแมลงมารบกวนและไม่ควรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้นานเกิน 1 เดือน


    การขยายพันธุ์ไผ่ตง

    การขยายพันธุ์ไผ่ตง





    1.2 การเพาะกล้าไผ่ตง



  • เมล็ดไผ่ตงที่จะนำมาเพาะควรจะเอาเปลือกออกก่อนเพื่อให้เมล็ดงอกเร็วขึ้นและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ


  • นำเมล็ดไผ่ตงไปแช่น้ำไว้ 2 คืน หรือแช่เมล็ดไผ่ตงในน้ำอุ่นก่อนประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วนำมาแช่น้ำทิ้งไว้อีก 1 คืน


  • นำเมล็ดไผ่ตงขึ้นจากน้ำแล้วนำมาห่อด้วยผ้า รดน้ำให้ชื้นอย่างสม่ำเสมอประมาณ 2 คืน เมล็ดไผ่ตงจะเริ่มงอก


  • นำเมล็ดไผ่ตงที่เริ่มงอกแล้วไปเพาะในแปลงที่มีขี้เถ้าแกลบผสมกับดินและทรายรองพื้นหนาประมาณ 4 นิ้ว หว่านเมล็ดและกลบด้วยดินหนาประมาณ 1 ซ.ม. คลุมแปลงด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง


  • หลังจากเพาะเมล็ดไผ่ตง 15 วัน จะได้ต้นกล้าที่มีความสูงประมาณ 2-3 นิ้ว ให้ย้ายต้นกล้าที่แข็งแรงลงในถุงเพาะและอนุบาลไว้ในเรือนเพาะชำหรือในที่ร่มรำไรประมาณ 6-8 เดือน จึงน้ำต้นกล้าไปปลูก


    การขยายพันธุ์ไผ่ตง

    การขยายพันธุ์ไผ่ตง





    2.การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ



  • การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นการนำต้นกล้าที่ได้จากการเมล็ดมาขยายพันธุ์ให้ได้ปริมาณมาก ๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนต้นพันธุ์รวมทั้งการแก้ไขปัญหาต้นพันธุ์ที่มากจากการเพาะชำกิ่งแขนงออกดอกและตายเพราะกิ่งแขนงที่นำมาจากต้นแม่จะมีอายุเท่ากับต้นแม่ ฉะนั้นเมื่อต้นแม่ออกดอก กิ่งแขนงที่นำไปปลูกก็จะออกดอกตายด้วยเช่นกัน แต่การเพราะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้องอาศัยขั้นตอนและเทคนิคทางวิชาการมาก จึงควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการหรือบริษัทเอกชนที่มีความชำนาญเป็นผู้ดำเนินการผลิต


    การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

    การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ


    3.การขยายพันธุ์โดยการแยกกอหรือเง้า



  • การขยายพันธุ์โดยวิธีนี้จะต้องเลือกเหง้าที่มีอายุ 1-2 ปี โดยตัดตอให้สูงประมาณ 50-80 เซนติเมตร แล้วทำการขุดเหง้ากับต่อออกจากกอแม่ แต่ต้องระวังอย่าให้ตาที่กอเหง้าแตกเสียหายได้ (เพาะตานี้จะแตกเป็นหน่อต่อไป) การขยายพันธุ์วิธีนี้จะได้เหง้าแม่ที่สะสมอาหารอยู่มาก จึงมีอัตราการรอดตายสูง ทำให้หน่อแข็งแรงและและได้หน่อเร็วกว่าวิธีขยายพันธุ์โดยการใช้กิ่งแขนงหรือลำ



  • 4. การขยายพันธุ์โดยการชำปล้อง






  • การขยายพันธุ์โดยการชำปล้องจะต้องเลือกลำที่มีอายุประมาณ 1 ปี แล้วนำมาตัดเป็นท่อน ๆ แต่ละท่อนมี 1 ข้อ โดยจะต้องตัดตรงกลางท่อนให้รอยตัดทั้งสองข้างห่าจากข้อประมาณ 1 คืบ และต้องมีแขนงติดอยู่ประ 1 คืบ จากนั้นนำไปชำในแปลงเพาะชำ โดยวางให้อยู่ระดับดินและให้ตราหงายขึ้น และต้องระวังอย่าให้ตาได้รับอันตราย เพราะจะทำให้หน่อไม่งอก หลังจากนั้นเทน้ำใส่ปล้องไผ่ตรงให้เต็ม


  • การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้จะต้องหมั่นดูแลรดน้ำอย่างสม่ำเสมอและต้องคอยเติมน้ำใส่ให้เต็มปล้องไผ่เสมอ หลังจากนั้นประมาณ 2-4 สัปดาห์จะพบหน่อและรากแตกออกมา เมื่อหน่อและรากแข็งแรงเต็มที่ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน ก็ทำการย้ายปลูกได้


    การชำปล้อง

    การชำปล้อง


    5. การขยายพันธุ์โดยใช้กิ่งแขนงปักชำมีการคัดเลือกดังนี้



  • ให้เลือกกิ่งแขนงที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 นิ้ว


  • รากของกิ่งแขนงที่มีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมเหลืองและมีรากฝอยแตกจากรากแขนงแล้ว


  • ให้เลือกกิ่งแขนงที่ใบยอดคลี่แล้ว และกาบหุ้มตาหลุดหมดแล้วเช่นกัน


  • ให้เลือกกิ่งแขนงที่มีอายุ 4-6 เดือน ถ้าเป็นกิ่งค้างปียิ่งดี
    การคัดเลือกกิ่งแขนง



  • ขั้นตอนในการปักชำกิ่งแขนง

    เมื่อได้คัดเลือกกิ่งแขนงแล้ว ทำการตัดแยกกิ่งแขนงออกจากลำไผ่ ตัดปลายกิ่งออกให้เหลือ 80-100 เซนติเมตร การปักชำควรจะทำในปลายฤดูฝนหรือในราวเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีกิ่งแขนงมาก มีขั้นตอนดังนี้
    – เตรียมแปลงเพาะชำโดยการไถพรวนดิน ควรตากดินทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ ทำการย่อยดินและปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอในกรณีที่พื้นที่เป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ถ้าเป็นที่ลุ่มควรทำการยกร่องเพื่อให้มีการระบายน้ำได้ดี
    – ขุดร่องให้เป็นแนวเหนือ-ใต้ ลึกประมาณ 15 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้กิ่งแขนงได้รับแสงแดดทั่วทุกด้าน
    – นำกิ่งแขนงปักชำลงในร่องห่างกันประมาณ 15-20 เซนติเมตร กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบให้แน่น รดน้ำทันที หลังจากชำเสร็จแล้วทำหลังคาด้วยทางมะพร้าวเพื่อบังแดด หมั่นดูแลรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน
    – หลังจากปักชำแล้วประมาณ 6-8 เดือน กิ่งแขนงที่ชำไว้จะแตกแขนงใบและรากที่แข็งแรงพร้อมที่จะย้ายลงปลูกในแปลงได้ การปักชำกิ่งแขนงอาจดำเนินการเพาะชำในถุงพลาสติกสีดำขนาด 8×10 นิ้ว สามารถเจริญเติบโตได้ดีเช่นกัน



    6.วิธีตอนกิ่งไผ่



  • สำหรับวัสดุและอุปกรณ์ในการตอนกิ่งไผ่
    1. ขุยมะพร้าว
    2. ถุงพลาสติก ขนาด 3x5 หรือ ตามขนาดของกิ่งไผ่
    3. เชือกฟาก หรือ ด้าย หรือ ตอก หรือ ตัวรัด
    4. มีดพร้า หรือ ขวานเล็กๆ สำหรับการผ่าตากิ่งไผ่

    วิธีตอนกิ่งไผ่
    1. นำขุยมะพร้าวแช่น้ำไว้ให้ชุ่ม หรือจะแช่ไว้สักคืนหนึ่งก็ได้นะครับ
    2. นำขุยมะพร้าวใส่ถุงพลาสติก รัดปากให้แน่นด้วยหนังยางหรือเชือกฟาง
    3. ใช้มีดผ่าครึ่งถุงพลาสติก เพื่อเปิดช่องไว้สำหรับทางกิ่งไผ่
    4. ใช้มีดผ่ากิ่งไผ่ จากด้านบนลงสู่ด้านล่าง อย่าให้ขาดนะครับ ให้เหลือเปลือกไผ่บางๆ ติดกับลำต้นไว้
    5. นำถุงพลาสติกห่อขุยมะพร้าวที่เตรียมไว้หุ้มกิ่งไผ่ส่วนโคนที่ถูกผ่าออก แล้วมัดด้วยเชือกฟาง หรือ สายรัด ผูกแน่นติดกับลำไผ่
    6. เมื่อรากของกิ่งไผ่ออกเต็มแล้ว ก็ให้ตัดกิ่งลงมาเตรียมเพาะชำ โดยให้เหลือปล้องไว้ 2-3 ปล้อง


























    ไผ่ตงลืมแล้ง





    ไผ่ตงลืมแล้ง มีลักษณะพิเศษคือ เปลือกหุ้มหน่ออ่อน จะเกลี้ยงไม่มีขนปกคลุมเลย เวลาแกะเอาเนื้อในจึงสะดวกสบายมาก เป็นไผ่ตงที่มีหน่อตลอดปี น้ำท่วมต้นก็ไม่ตายทนแล้งอีกต่างหาก จะแล้งขนาดไหนยังแทงหน่ออ่อนให้เก็บรับประทาน หรือเก็บขายได้ ตลอดปี จึงถูกตั้งชื่อว่า “ไผ่ตงลืมแล้ง” (ปกติฤดูแล้งไผ่ตงจะไม่มีหน่อ)



    นอก จากนั้น “ไผ่ตงลืมแล้ง” ยังเป็นหน่อไม้ที่มี กรดยูริก ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเกาต์น้อยมาก จึงสามารถรับประทานได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญเนื้อไม้ หรือลำไผ่ของ “ไผ่ตงลืมแล้ง” ยังเป็นไผ่ที่มอดไม่กินอีกด้วย เวลานำไปสร้างบ้านไม้ไผ่ หรือทำเฟอร์นิเจอร์ จึงมีความทนทานได้นานกว่าไม้ไผ่ชนิดใดๆ



    ไผ่ตงลืมแล้ง เป็นพันธุ์นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียนานกว่า 5 ปีแล้ว อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE เป็นไม้ยืนต้นตระกูลหญ้า ต้นสูงได้กว่า 20 เมตร ลำต้นตรง เป็นข้อหรือปล้อง ขนาดของลำต้นใหญ่ เนื้อไม้หนา ยอดอ่อน หรือ หน่ออ่อนมีเปลือกหุ้มสีเขียว ไม่มีขนตามที่กล่าวข้างต้น โผล่เหนือดินเรียกว่า หน่อไม้ ไผ่ตง เนื้อในรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ขนาดของหน่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5-7 กิโลกรัมต่อหัว มีหน่อตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยหน่อมีต้นหรือหน่อขาย

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น